บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระสยามเทวาธิราช






ในบทความ “รัตนะเจ็ดของผม” แรก ผมได้เล่าถึงจักรพรรดิทั้ง 7 ประเภท ที่ผมจะสะสมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ เพราะ ในกายของผมนั้น  รัตนะเจ็ดมีครบอยู่แล้ว

ขุนพลแก้วที่ผมไปได้มาจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครนั้น รูปร่างยังไม่ชัดเจน  วันนี้ผมเลยเอารูปที่ชัดๆ มาให้ดู

ซึ่งก็คือ พระสยามเทวาธิราชนั่นเอง

วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี เก็บข้อมูลไว้ดังนี้

พระสยามเทวาธิราช เป็นเทวรูป หล่อด้วยทองคำสูง ๘ นิ้ว ประทับยืนทรงเครื่องกษัตริยาธิราช ทรงฉลองพระองค์อย่างเครื่องของเทพารักษ์

มีมงกุฎเป็นเครื่องศิราภรณ์ พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายยกขึ้นจีบดรรชนีเสมอพระอุระ

องค์พระสยามเทวาธิราชประดิษฐานอยู่ในเรือนแก้วทำด้วยไม้จันทน์ ลักษณะแบบวิมานเก๋งจีน

มีคำจารึกเป็นภาษาจีนที่ผนังเบื้องหลัง แปลว่า "ที่สถิตย์แห่งพระสยามเทวาธิราช" เรือนแก้วเก๋งจีนนี้ประดิษฐานอยู่ในมุขกลางของพระวิมานไม้แกะสลักปิดทอง

ตั้งอยู่เหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ตอนกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง

พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองนี้ เรียกว่า พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองสามมุข ด้านหน้าขององค์พระสยามเทวาธิราชตั้งรูปพระสุรัสวดี หรือพระพราหมี เทพเจ้าแห่งการดนตรีและขับร้อง

มุขตะวันออกของพระวิมาน ตั้งรูปพระอิศวรและพระอุมา มุขตะวันตกของพระวิมาน ตั้งรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการศึกษาประวัติศาสตร์ ทรงมีพระราชดำริว่าประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นภยันตรายมาได้เสมอ

คงจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการบูชา

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการปั้นหล่อเทวรูปสมมุติขึ้น ถวายพระนามว่าพระสยามเทวาธิราช

ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งทรงธรรมในหมู่พระที่นั่งพุทธมณเฑียร ในพระอภิเนาว์นิเวศน์

พระที่นั่งไพศาลทักษิณ สถานที่ประดิษฐานพระวิมานพระสยามเทวาธิราช (ทางด้านขวาของภาพ)

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า

"...ตอนมหาอำนาจทางตะวันตกทำการเปิดประตูค้ากับพวกตะวันออก ในระยะเวลาต้นๆศตวรรษที่ ๑๙ ของคริสต์ศักราชนั้น

พวกเมืองข้างเคียงไม่รู้ทันเหตุการณ์ภายนอกว่า ทางตะวันตกมีอำนาจปืนเรือพอที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย จึงพากันไม่ยอมทำสัญญาด้วย ซ้ำยังขับไล่ ใช้อำนาจจนเกิดเป็นสงครามขึ้น

ก็เป็นธรรมดาที่คนมีแต่มีดจะต้องแพ้ผู้มีปืน แล้วถูกเป็นเมืองขึ้นไปโดยสะดวก

ฝ่ายทางเมืองไทยเรานั้นมหาอำนาจตกลงกันให้อังกฤษมาเป็นผู้เปิดประตูทำสัญญาค้าขาย ซึ่งตามที่จริงก็เคยมีไมตรีกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว

แต่เมื่อบ้านเมืองมีเหตุการณ์ศึกสงครามเกิดขึ้นชาวต่างประเทศไปมาค้าขายไม่สะดวกได้ ก็จำต้องหยุดการติดต่อกันไปเป็นพัก ๆ

การเป็นเช่นนี้แก่ทุกบ้านทุกเมือง ฉะนั้น เมื่อเสร็จศึกกับพม่าในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ถึงรัชกาลที่ ๒ ชาวโปรตุเกสก็เข้ามาจากเมืองมาเก๊า เพื่อขอทำสัญญาค้าขาย

ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ โปรดเกล้าฯ ให้รับสัญญาเพราะเรายังต้องการซื้อปืนไฟจากชาวตะวันตกอยู่

ต่อมาอีก ๒ ปี มิสเตอร์ จอน ครอเฟิด (John Grawford) ทูตอังกฤษเข้ามาขอทำสัญญาจากผู้สำเร็จราชการอินเดียใน พ.ศ. ๒๓๖๕

ถึงรัชกาลที่ ๓ อังกฤษเกิดรบกันขึ้นกับพม่าเป็นครั้งแรก ครั้นชนะแล้วจึงให้กัปตันเฮนรี่ เบอร์เนย์ (Henry Burney) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘

ทูตอเมริกัน มิสเตอร์ เอ็ดมอนด์ โรเบิต (Edmond Robert) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕

มิสเตอร์ริดชัน (Ridson) ทูตอังกฤษเข้ามาทำสัญญาขอซื้อช้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑ และเซอร์เจมส์ บรู้ค (Sir Jame Brooks) ผู้เคยเป็นรายา (White Raja) ผู้ครองเกาะซาราวัค (Sarawak) เข้ามาขอทำสัญญาอีกเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๓ ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคต

รวมทูตอังกฤษที่เข้ามาทำสัญญากับเมืองไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ก็ได้ทำแต่เรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเรื่องผ่านแดนไทยกับพม่า และสัญญาซื้อขายช้าง ม้า และแลกเปลี่ยนสินค้าบางอย่าง ไม่ได้ทำสัญญากับเมืองไทยโดยตรงอย่างเมืองอื่น ๆ

ส่วนทางเมืองไทยก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะมีผู้ใดจะเกะกะทางนี้ได้ บางคนนึกเลยไปว่าเหล็กจะลอยน้ำได้อย่างไร

ในเมื่อมีใครมาเล่าว่าทางมหาอำนาจตะวันตกนั้นมีเรือรบที่ทำด้วยเหล็ก ไทยจึงไม่เต็มใจจะเปิดประตูค้ากับผู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่รับข้อที่จำเป็นในเวลานั้นเท่านั้น

แต่ในที่สุดเราก็ได้พบรายงานของเซอร์เจมส์ บรู๊ค ผู้ซึ่งเข้ามาครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ ๓ ว่า

‘..พระเจ้าแผ่นดินกำลังเสด็จอยู่บนพระแท่นสวรรคต และพระองค์ที่จะทรงเสวยราชย์ใหม่ก็มีหวังจะพูดกันได้เรียบร้อย ฉะนั้น จึงขอรอการใช้กำลังบังคับไว้ก่อน...

ตามรายงานนี้เห็นได้ชัดว่า เขาเตรียมจะใช้กำลังกับเราอยู่แล้ว เผอิญให้เกิดมีการสวรรคตและเปลี่ยนแผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นมาเสวยราชย์ในเวลาที่ทรงทราบเหตุการณ์นอกประเทศดีอยู่แล้ว เพราะทรงมีเวลาศึกษาเพียงพอ ในเวลาที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุถึง ๒๗ ปี

พอเสวยราชย์ได้ ๔ ปี เซอร์จอน โบว์ริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกง ก็มีจดหมายส่วนตัวเข้ามากราบทูลว่า

คราวนี้ตัวเขาจะเข้ามาเป็นราชทูตแทนพระองค์ควีน วิคตอเรีย ไม่ใช่เป็นแต่เพียงทูตมาจากผู้สำเร็จราชการอินเดียเช่นคนก่อน ๆ เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าจะไม่มีเรื่องเดือดร้อนถึงต้องขัดใจกัน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข้อไขอันนี้ดี จึงเปิดประตูรับในฐานะมิตร และเป็นผลให้เราได้พ้นภัยมาได้แต่ผู้เดียวในทางตะวันออกประเทศนี้

เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยเรานี้มีเหตุการณ์หวิด ๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นได้เสมอมา

ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาอยู่ จึงสมควรจะทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้น ไว้สักการบูชา

แล้วโปรดให้พระองค์เจ้าดิษฐวรการ (หม่อมเจ้ารัชกาลที่ ๑) นายช่างเอกทรงปั้นรูปเทพพระองค์นั้น เป็นรูปทรงต้นยืนถือพระขรรค์ในพระหัตถ์ขวา ขนาด ๘ นิ้วฟุตงดงามได้สัดส่วน แล้วหล่อด้วยทองคำแท่งทั้งพระองค์

ทรงถวายพระนาม "พระสยามเทวาธิราช" แล้วประดิษฐานไว้ในพระวิมานกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณจนทุกวันนี้

ท่านผู้ใหญ่ชั้นคุณย่าของข้าพเจ้าเล่าว่า ในรัชกาลที่ ๔ ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะทุกวัน และเป็นที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก

บัดนี้เนื่องแต่ทางพระราชสำนักต้องตัดทอนรายจ่ายมากมายมาแต่ในรัชกาลที่ ๗ จึงคงยังมีเครื่องสังเวยถวายแต่เฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ อาทิตย์ละ ๒ ครั้ง

และในเวลาปีใหม่ก็มีการบวงสรวงสังเวยเป็นพิธีใหม่ มีละครรำของกรมศิลปากรในเวลาเช้าวันสังเวยนั้น..

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังเราท่านได้ประสบมาด้วยตนเอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นว่าพระสยามเทวาธิราชนั้นมีจริง

เราจงพร้อมใจกันอธิษฐานด้วยกุศลผลบุญที่เราได้ทำมาแล้วด้วยดี ขอให้เทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้ จงได้ทรงคุ้มครองป้องกันภัย และโปรดประสิทธิ์ประสาทความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ประชาชนชาวสยามทั่วกันเทอญ.."

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะเป็นประจำวัน เครื่องสังเวยที่ถวายเป็นประจำนั้น จะถวายเฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ก่อนเวลาเพล

โดยจะมีพนักงานฝ่ายพระราชฐานชั้นใน เป็นผู้เชิญเครื่องตั้งสังเวยบูชา เครื่องสังเวยประกอบด้วย ข้าวสุกหนึ่งถ้วยเชิง หมูนึ่งหนึ่งชิ้น พร้อมด้วยน้ำพริกเผา ปลานึ่งหนึ่งชิ้นพร้อมด้วยน้ำจิ้ม ขนมต้มแดงและขนมต้มขาว กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อนหนึ่งผล ผลไม้ตามฤดูกาลสองอย่าง และน้ำสะอาดอีกหนึ่งถ้วย

ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีสังเวยเทวดา ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกปี

พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเลียนแบบพระสยามเทวาธิราชแต่แปลงเค้าพระพักตร์ให้เหมือนสมเด็จ พระชนกาธิราช

เพื่อทรงสักการะ พระบรมรูปองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า พระอภิเนาว์นิเวศน์พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งทรงธรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างเสาไม้หุ้มปูน ที่ได้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก ยากที่จะบูรณะให้คงสภาพเดิมไว้ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อลงทั้งหมด และอัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐานไว้ ณ พระวิมานทองสามมุขเหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตราบจนถึงทุกวันนี้

พระราชพิธีบวงสรวงใหญ่พระสยามเทวาธิราช ตามประเพณีกำหนดไว้ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกปี อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติแบบโบราณ

ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จแทนพระองค์มาทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะพระสยามเทวาธิราช และมีละครในจากกรมศิลปากรรำถวาย

ระหว่างวันที่ ๗ - ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อครั้งฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระสยามเทวาธิราชจากพระวิมานในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ขึ้นเสลี่ยงโดยประทับบนพานทอง ๒ ชั้น สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐาน ณ บุษบกมุขเด็จ

เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวง ในวันพุธที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๕ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สาธุชนเข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชหลังเสด็จฯ กลับ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๕

นับเป็นครั้งแรกที่ประชาชนมีโอกาสได้เข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชเฉพาะพระพักตร์

พระสยามเทวาธิราชที่เป็นกายละเอียดมีจริงๆ มีหลายพระองค์  ไม่ว่าผมจะไปสอนนักเรียนที่ไหน พระองค์จะทรงไปช่วยสอนทุกครั้ง....




รัตนะเจ็ดของผม

ในบทความ "หัวหน้าจักรพรรดิคือจักรแก้ว" ผมได้นำเสนอรูปจักรแก้วที่ให้ช่างที่จังหวัดจันทบุรี “แกะ” ขึ้น แล้วเล่าถึงประวัติผมว่า ผมไม่ค่อยได้สนใจพระเครื่องมาตั้งแต่ต้น  เพิ่งจะมาสนใจก็เมื่อตอนมาพบคุณลุงแล้ว และได้อ่านพบเรื่องของจักรพรรดิแล้ว

ผมจึงได้เริ่มสะสมจักรพรรดิของผม โดยผมตั้งใจจะสมสมให้ครบทั้ง 7 ประเภท โดยตั้งใจจะสะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เพราะ ต้องการมีจักรพรรดิในระดับ “นับไม่ถ้วน”


ที่สะสมนั้น สะสมในลักษณะของ “สัญลักษณ์หรือตัวแทน” ที่ยังหาไม่ได้ก็คือ ขุนคลังแก้ว

แก้วมณี
แก้วมณีก็คือดวงแก้ว  ผมเช่ามาจากท่าพระจันทร์ เอาไว้เป็นตัวอย่างในการสอนด้วย สังเกตให้ดีจะให้ว่า สีเปลี่ยนไปเป็นสีชมพู  เมื่อเช่ามานั้น เป็นสีขาวธรรมดา

แก้วมณีนั้น พระองค์จะแสดงตัวโดยให้เห็นดวงแก้วอยู่ในมือบ้าง  หรือลอยอยู่ข้างๆ บ้าง แก้วมณีมีหน้าที่สร้างปัญญา ความเฉลียวฉลาดให้กับเรา

ขุนพลแก้ว
ขุนพลแก้วมีหน้าที่ให้กำลังกับเรา รูปร่างก็เป็นจักรพรรดิในมือถือพระขรรค์  ผมหามานาน ไปพบที่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร

ประวัติความเป็นมาจากเว็บ มีดังนี้

เจ้าพ่อวิเชียรโชติ แกะสลักด้วยไม้โพธิ์ มีลักษณะคล้ายองค์พระสยามเทวาธิราช อยู่ในท่าประทับยืนบนเกี้ยว ซึ่งแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตร แล้วปิดทองคำเปลวบริสุทธิ์ทับไปอีกชั้นหนึ่ง มีความสูงประมาณ ๑ ศอกเศษ

ประดิษฐานอยู่ในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร เป็นที่เคารพสักการะของชาวสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะชาวประมงและคนไทยเชื้อสายจีน จะมีความเชื่อถือศรัทธามาก

อีกเว็บหนึ่งเป็นดังนี้
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ต.มหาชัย เป็นแผ่นไม้รูปแกะสลัก ขนาดสูงประมาณ 1 เมตร เรียกว่า เทพเจ้าจอมเมือง เป็นเทวดาหัตถ์ขวายกประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระขรรค์ มีกุมารน้อย 2 คน เป็นบริวารอยู่ด้านข้าง

มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า แผ่นไม้สลักนี้ลอยน้ำผ่านคลองมหาชัย ชาวบ้านได้อัญเชิญขึ้นสักการะสร้างเป็นศาลเล็กๆ ไว้ที่ป้อมวิเชียรโชฎกเรียกศาลเทพเจ้าจอมเมืองตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

รูปร่างต้นฉบับของท่าน


แผ่นไม้นี้ ดั้งเดิมท่านแกะสลักเป็น “ขุนพลแก้ว”  แต่ผู้ที่เก็บมาได้ “ไม่รู้” ว่าอะไร  จึงให้เป็นเจ้าพ่อบ้าง เป็นเทพเจ้าบ้าง  เพราะ รู้ว่า “ไม่ใช่พระ” แต่ไม่รู้ว่าเป็นจักรพรรดิ

ผมจึงเช่าองค์จำลองมา 2 องค์ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของขุนพลแก้ว  ไม่ได้หมายความว่า จักรพรรดิที่อยู่ในเรือนั้น เป็นขุนพลแก้วจริงๆ

นางแก้ว
นางแก้วมีหน้าที่ให้ความสวยงามแก่เรา  ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาแทน ผมเลยไปเช่าเจ้าแม่กวนอิมพันมือมาเป็นสัญญลักษณ์

นางแก้วนี้ กายของจักรพรรดิเป็นผู้หญิง  เคยสอนให้เด็กนักเรียนขอรัตนะเจ็ด  เด็กๆ จะบอกว่านางแก้วสวยมาก  ไม่รู้จะวาดยังไงให้เหมือน

ช้างแก้วกับม้าแก้ว
ช้างแก้วกับม้าแก้วมีหน้าที่ให้ความสะดวกในการเดินทาง  ท่านจะแสดงสัญลักษณ์ให้เห็นม้า หรือช้างในมือ หรืออยู่ใกล้ๆ กับท่าน

เด็กๆ จำนวนมาก ท่านแสดงให้เห็นเป็นช้าง เป็นม้าเลย 

ขุนคลังแก้ว
ขุนคลังแก้วมีหน้าที่เก็บทรัพย์สมบัติ และช่วยหาทรัพย์สมบัติด้วย  ขุนคลังแก้วจะแสดงตัวโดยการถือ “ถุงสมบัติ” ในมือของพระองค์ 

ยังไม่พบองค์เล็กๆ ที่จะสะสม  พบองค์หนึ่งที่โคราช ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่นี่แหละ เจ้าของปั้นองค์ใหญ่เท่าคน  ไม่รู้จะไปขอเช่าอย่างไร เลยเว้นไว้ก่อน

ที่กล่าวๆ ไปทั้งหมดนั้น  รัตนะเจ็ดในกายของผมครบนะครับ  แต่ต้องการเก็บสะสมตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของท่านเท่านั้น...



หัวหน้าจักรพรรดิคือจักรแก้ว



จักรแก้วที่เห็นอยู่นี้ ผมให้ช่างที่จังหวัดจันทบุรี แกะขึ้น โดยใช้พลอยอ่อนจากประเทศแอฟริกา เมื่อแกะแล้ว จักรแก้วจากนิพพานก็จะลงมาอยู่เพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม

จักรพรรดิทั้งหมด ลงมาเพื่อสร้างบารมีในความกำกับดูแลของ ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู ต้นปราบน้อย ต้นปราบจักรีฤทธิ์ ซึ่งเป็นจักรพรรดิระดับสูงสุด

ถ้าจัดลำดับตามบารมีก็คือ อุดมบรมจักร ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองในปัจจุบันนี้

ผมทำงานให้จักรพรรดิ ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู ต้นปราบน้อย ต้นปราบจักรีฤทธิ์ เมื่อผมสร้างวัตถุมงคลสิ่งใดขึ้น จักรพรรดิจะลงมาอยู่ทุกครั้ง  และเต็มใจลงมาอยู่ด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เป็นความจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ แต่จะกล่าวถึงในส่วนข้างหน้าที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นมาของจักรแก้วกับผม

เรื่องการสะสมจักรพรรดินี้ เป็นสิ่งแปลกสำหรับชีวิตของผม เพราะ ตั้งแต่เป็นเด็กจนกระทั่งโตมา ผมไม่เคยสนใจที่จะสะสม พระเครื่อง พระบูชา มาก่อน เพราะ คิดว่า ถ้าทำความดีก็ต้องได้ดี ไม่เห็นจะต้องไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองทำไม

ถ้ายึดสถานการณ์ปัจจุบันเป็นหลัก ก็คือ ผมไม่สนใจที่จะสะสมจักรพรรดินั่นเอง

ไม่ใช่ว่า ผมไม่ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ เพราะ ผมสักสิงห์คู่ที่ไหล่ของผม ไหล่ละตัว ไหล่ละอาจารย์

แต่ไม่ชอบที่จะสะสมพระเครื่องหรือพระบูชาเท่านั้น

ผมกับเพื่อนสนิท 2-3 คน เคยข้ามฝั่งไปหาเพื่อนคนหนึ่ง บ้านผมอยู่ฝั่งขวา แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อนคนนี้ อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยา 


ตอนนั้นมันชื่อ ไอ้หยิก

ตอนนี้เป็นหลวงตาหยิก หลวงลุงหยิก บวชไม่สึกไปแล้ว [มาถึงวันนี้ 23/6/2557 ผมเพิ่งทราบว่า ท่านมรณภาพไปแล้ว ยังไม่ได้ช่วยท่านเลย เพราะ ไม่มีรูป]

เมื่อผมกับเพื่อน 2-3 คน ที่จำได้ก็มี ไอ้อิ๊ด กับไอ้เบิ้ม สงสัยจะมีไอ้จิ๋มด้วย 

คนสุดท้ายนี้ เป็นเซียนพระของจังหวัดชัยนาท (ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเซียนอยู่ ) เขียนลงบทความหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นด้วย

พอไปถึงบ้านมัน ไอ้หยิกมันไปหยิบตะกร้าพระมา 1 ตะกร้า แล้วบอกผมว่า มึงอยากได้เท่าไหร่ หยิบเอาตามสบาย

พวกเพื่อนๆ ผม 2-3 คนนั้น มันชอบสะสมพระอยู่แล้ว  น้ำลายไหล ตาพองด้วยความอิจฉา เพราะ มันรู้ค่าของพระในตะกร้านั้น  ผมไม่รู้เรื่อง

ผมบอกว่า กูไม่เอาหรอก” 

ไอ้หยิกมันเลยหยิบพระนางกวักมาให้องค์หนึ่ง เพราะแม่ผมเป็นแม่ค้า แล้วเอาตะกร้านั้นไปเก็บ  หยิบตะกร้าใหม่ออกมา แล้วให้เพื่อนๆ ผมหยิบคนละ 1 องค์

เพื่อนที่ไปกับผม มันเสียดายว่า ทำไมไม่เอามาเยอะๆ ไอ้หยิกมันไปขโมยของดีๆ มาทั้งนั้น ที่ให้พวกมันมีแต่พระใหม่ๆ  แล้วให้องค์เดียว

ก็อย่างที่บอกไปแต่ตอนต้นว่า ตอนนั้นไม่ชอบพระเครื่อง

ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่ชอบอยู่เช่นเดิม หมายถึงพระเครื่อง แต่ถ้าเป็นรัตนะชาติ ผมถึงชอบ

ไอ้หยิกนี่ มันรักผมมาก ถึงแม้อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ

นิสัยใจคอแทบจะไปกันไม่ได้เลย เพราะ ไอ้หยิกมันเป็นขโมย  เป็นขโมยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแถวบ้านของมัน 

ผมไม่เคยขโมยของใคร ผมเป็นนักเลง เป็นจิ๊กโก๋ ตีหัวหมา ด่าแม่ชาวบ้านไปเรื่อย

เรื่องที่ไอ้หยิกมันรักผมก็เป็นเพราะ ผมไม่ชอบให้ใครรังแกคนที่อ่อนแอกว่า

ชีวิตผมมีเรื่องตีรันฟันแทงเกือบๆ 50 % ก็เพราะป้องกันคนที่อ่อนแอนี่แหละ  อีกครึ่งหนึ่ง เพื่อนๆ สุดที่รักทั้งหลาย ไปหามาให้ทั้งนั้น

ผมหาเรื่องใส่ตัวของผมเอง ไม่ถึงร้อยละ 5

ไอ้หยิกมันข้ามฝั่งมาอาศัยกิน อาศัยเที่ยวอยู่กับพวกผม  ขโมยมืออาชีพ มักจะไม่สู้คน  ถ้าถูกเจ้าของบ้านจับได้ ก็จะยอมให้ทุบให้ตี เผลอก็ขโมยใหม่

ขโมยเข้าบ้านใคร แล้วฆ่าเจ้าทรัพย์ จะไม่ใช่ขโมยมืออาชีพ และจะรู้จักกับเจ้าบ้าน  พูดง่าย ขโมยมือสมัครเล่น จะฆ่าเจ้าของทรัพย์ มืออาชีพไม่ทำอย่างนั้น

เมื่อไอ้หยิกมันข้ามฝั่งมาอาศัยกิน อาศัยเที่ยวอยู่กับพวกผม  กลุ่มของพวกผมนั้น  มีพวกกวนโอ๊ยประชาชนอยู่หลายระดับ  มีนักเลงจริงบ้าง นักเลงปลอมบ้าง

กล่าวคือ ที่ใจถึงจริงๆ ลุยไหนลุยนั่น ตายเจ็บไม่เคยนึกถึง ขอลุยอย่างเดียว มีไม่กี่คน ผมติดอยู่ในกลุ่มบ้ากลุ่มนี้ด้วย

ที่เหลือๆ ก็มาอาศัยเพื่อนที่บ้าๆ เหล่านั้นเป็นเกราะป้องกันภัย  แต่บางคน มันก็ชอบที่จะอาศัยความที่มีเพื่อนเป็นนักเลงโต ไปข่มเหงคนอื่นก็มีเหมือนกัน

เมื่อไอ้หยิกมันมาอาศัยกิน อาศัยเที่ยวอยู่ด้วย  ไอ้พวกลิ่วล้อทั้งหลายก็รังแกไอ้หยิกมั่ง กลั่นแกล้งมันมั่ง  

ผมเป็นคนประกาศว่า อย่าไปยุ่งกับไอ้หยิกมัน  แล้วผมสั่งไอ้หยิกไว้เลย ถ้าใครแกล้งมึง มึงชกเลย เดี๋ยวกูช่วย

ไอ้หยิกมันตัวใหญ่เหมือนกัน สูงเกือบๆ 180 เซนติเมตร ไอ้หยิกเลยรักนับถือผมมาตั้งแต่บัดนั้น จนถึงบัดนี้

ถ้าไปเยี่ยมท่าน ท่านก็จะให้พระเหมือนเดิม

เมื่อผมมาพบกับคุณลุงการุณย์ บุญมานุช รู้เรื่องรัตนะเจ็ด  ผมจึงเริ่มที่จะสะสมจักรพรรดิ เพราะ คุณลุงบอกว่า

จักรพรรดิของเรานั้น ต้องมีจน นับไม่ถ้วนถึงจะดี  ถ้ายังนับถ้วน ยังใช้ไม่ได้

จักรพรรดิทั้ง 7 ประเภทนั้น จักรแก้วเป็นประธาน  ผมจึงสนใจที่จะเริ่มสะสมจักรพรรดิขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ จักรแก้ว

สุดท้ายก่อนจะจบเรื่องที่เกี่ยวกับไอ้หยิก 

ผมเคยถามไอ้หยิกครั้งหนึ่งว่า ทำไม มึงไม่มาขโมยของที่หมู่บ้านกู  ที่ถามนั้น ถามถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมารู้จักและเป็นเพื่อนกัน

ตอนที่ผมเป็นนักเลงหัวไม้อยู่นั้น  ของในหมู่บ้านของผมไม่เคยหาย (จากขโมยนอกหมู่บ้าน หายบ้างเล็กๆ น้อยๆ จากขโมยในหมู่บ้าน ชื่อตาเตี้ย)

ไอ้หยิกมันบอกว่า กูกลัวพวกมึง